การหัวเราะเพื่อสุขภาพ



การหัวเราะ เป็นอารมณ์ที่แสดงออกถึงความสนุกสนานเฮฮาปาตี้ซึ่งมักจะแสดงออกมาเมื่อได้ดูภาพยนต์ตลก รายการตลก หรือเวลาพูดคุยกันในหมู่เพื่อนฝูง นอกจากจะทำให้บรรกาศรอบข้างดูไม่เครียดแล้วยังดีต่อสุขภาพด้วย ซึ่งแพทย์ก็ได้เอาวิธีนี้ไปใช้บำบัดผู้ป่วยโดย ทดลองให้ชมภาพยนตร์ตลก พบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น นี่คือความมหัศจรรย์ ของเสียงหัวเราะ

จากการวิจัยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกาพบว่าการหัวเราะเพียง 10 วินาทีเท่ากับการออกกำลังกายบนเครื่องกรรเชียงถึง 3 นาที เลยทีเดียวเพราะการหัวเราะแต่ละครั้งจะทำให้หัวใจและชีพจรเต้นเร็วเล็กน้อย เมื่อหยุดก็จะทำให้ร่างกายค่อยๆคืนสู่สภาพ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

แต่จะว่าไปการหัวเราะก็มีกำหนดอย่างน้อยเหมือนกับดื่นน้ำวันละ 8 แก้วเหมือนกันโดยมีผู้กล่าวว่า คนเราควรหัวเราะอย่างน้อย 15 นาที ต่อ 1 วัน

ประโยชน์ของการหัวเราะ
  • ช่วยให้ปอดแข็งแรง
  • ช่วยทำความสะอาดหลอดลม
  • ลดความเครียด ทำให้ร่างกายได้พักผ่อน ผิวพรรณดีขึ้น เส้นประสาทบนใบหน้ายืดหยุ่น
  • ลดความดันโลหิต
  • พัฒนาการเจริญเติบโตของสมอง
  • ทำให้ได้รับออกซเจนมากขึ้นส่งผลทำให้ระบบหายใจดี
  • การสูบฉีดโลหิตดีขึ้น
  • มีภูมิคุ้มกัน เพิ่มความเข้มข้นของอนุมูลอิสระ
  • ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (เป็นฮอร์โมนที่ช่วยลดการเจ็บปวด) เป็นสารที่ก่อให้เกิดความสุข
  • สร้างเสน่ห์ให้ตัวเอง
  • ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ไม่น่าเชื่อว่าแค่หัวเราะไม่กี่วิจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้แต่มันก็เป็นไปแล้วและที่เคยได้ยินมาบ้างเค้าบอกว่าการหัวเราะทำให้ชีวิตยืนยาวด้วยนะ ใครที่ไม่ค่อยได้หัวเราะถ้าอยากสุขภาพจิตที่ดีแข็งแรงก็หาเวลาว่างเปิดดูหนังตลก รายการฮาๆอย่างชิงร้อยชิงล้าน เพื่อปลดปล่อยเสียงหัวเราะออกมาให้เต็มเหนี่ยวเลยนอกจากจะมีความสุขยังได้ประโยชน์ด้วย

วิธีจัดการกับความเครียดให้อยู่หมัด



เข้าใจว่าอารมณ์หรือความรู้สึกไม่สบายใจที่เราเรียกมันว่าความเครียดนั้นมันสามารถมาอยู่กับเราได้ทุกเมื่อที่มีโอกาศและถ้าหากปล่อยให้สะสมอยู่นานคงจะเป็นผลไม่ดีต่อร่างกายและจิตใจอย่างแน่นอน ซึ่งมีหลายคนตกอยู่ในสภาวะความเครียดและใช้วิธีที่ให้หลุดพ้นจากความเครียดแบบผิดวิธี ซึ่งมันก็มีตัวอย่างให้เราเห็นกันอยู่บ่อยๆตามข่าวในทีวี หนังสือพิมพ์ ข่าวตามเว็บไซต์ ที่เครียดจากการทำงานจนต้องฆ่าตัวตาย ปีนเสาไฟอย่างนี้ก็มี

ขอบอกว่าเป็นวิธีที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ควรรู้จักการปฏิบัติตนที่ดีและเลือกวิธีที่เหมาะสม จะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข แล้วทำยังไงตัวเองถึงจะมีความสุขปราศจากความเครียดอย่างให้มาครอบงำเราได้เป็นอันขาด วันนี้ผมจะมาบอกเล่าแบบเป็นเหตุและผล ถ้าเกิดขึ้นแล้วอะไรจะตามมา มีความเครียดแล้วจะส่งผลเสียอะไรต่อร่างการ จิตใจ มีอาการยังไงถึงเรียกว่าเครียด อย่างหลังนี้น่าจะรู้จักตัวเองดี

สาเหตุของความเครียด

เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อจิตใจถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าที่ทำให้ตื่นเต้นหรือวิตกกังวล ส่งผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดความผิดปกติกับร่างกาย หากความเครียดมีมากและคงอยู่เป็นเวลานาน สาเหตุของความเครียดมีหลายประการดังนี้ครับ

ภาวะด้านร่างกาย เช่น สุขอ่อนแอ ความเจ็บป่วย ความพิการ ภาวะทุพโภชนาการ การติดสารเสพติด การเจริญเติมโตผิดปกติ ความอ้วน (เป็นหนึ่งสาเหตุที่ผู้หญิงฮิตกัน)

จิตใจ เช่น การสูญเสียของรัก สิ่งที่รัก ความคับข้องใจ วิตกกังวล ความกลัว ความขัดแย้ง หวาดระแวงการตัดสินใจ การต้องการการยอมรับจากเพื่อนฝูงหรือสังคม

สิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ อากาศร้อนจัด เสีงดังมากไป รถติด ไฟไหม้ แผ่นดินไหว

อาการที่บ่งบอกว่ามีความเครียด

ส่วนใหญ่จะปวดศีรษะข้างเดียวบ่อยๆ หายใจไม่ค่อยออก หายใจถี่ เหนื่อยง่าย ท้องเสียหรือท้องผูกเป็นประจำ กระสับกระส่าย นอนไม่ค่อยหลับ อาการผิดปกติทั้งหลายที่คนปกติเค้าไม่เป็นกัน ส่วนด้านจิตใจนั้นจะมีอาการหงุดหงิดง่าย เบื่อหน่าย ท้อถอย เคร่งเครียด เก็บกด รู้สึกตัวเองำร้คุณค่า แยกตัวออกจากสังคม ซึ่งอาการเหล่านี้บ่งบอกอย่างชัดเจน

ลองสังเกตตัวเองครับว่าคุณมีอาการต่อไปนี้หรือไม่ ถ้ามีอาจเสี่ยงเป็นผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตก็เป็นได้
  1. ขมวดคิ้วตลอดเวลา
  2. ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
  3. หายใจติดขัดใจสั่น
  4. นอนไม่หลับหรือหลับยากและฝันร้าย
  5. อ่อนเพลีย ไม่มีแรงทำงานประจำวันไม่ค่อยได้
  6. ตื่นเต้น ตกใจง่ายเหงื่อออกง่าย
  7. ขาดสมาธิทำอะไรได้ไม่ค่อยนาน
  8. ซึมเศร้าอยู่คนเดียว
  9. เสียงสั่น ปากสั่นหรือมือสั่นเวลาไม่พอใจ
  10. ปวดเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่
  11. ฉุนเฉียว โมโหง่าย
  12. หัวใจเต้นแรงเหนื่อยง่าย
  13. ระบบชับถ่ายผิดปกติ
  14. จุกแน่นหน้าอก
วิธีจัดการกับความเครียด

พักผ่อน การที่ร่างกายได้พักผ่อน ได้ผ่อนคลาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตประจำวันได้มาก และยังช่วยให้เผชิญกับสภาวการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การหลับนอน มันมีความสำคัญและจำเป็นมากต่อสุขภาพโดยต้องนอนหลับประมาณ 7-8 ชั่วโมง (ผู้หญ่) และ 8-10 ชั่วโมง สำหรับเด็ก

การผ่อนคลาย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดระดับความวิตกกังวลและความเครียดทางกล้ามเนื้อ คือ พยายามที่จะให้กลุ่มกล้ามเนื้อบางกลุ่มของร่างกายตึงและหย่อน (ผ่อนคลาย) อย่างเป็นระบบ

การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะเกิดขึ้นเมื่อเราผ่อนคลาย

1. การหายใจช้าลง ความต้องการออกซิเจนก็ลดน้อยลงไปด้วย

2. ต่อมหมวกไตชั้นในไม่หลั่งฮอร์โมน ปริมาณของฮอร์โมนอะดรีนาลินในกระแสโลหิตจะลดลง

3. มีการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ

4. สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) จะทำให้ต่อมพิทูอิตารีและระบบประสาทอัตโนมัติเกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองจะช้าลงและลึก

5. ปริมาณเหงื่อลดลงอย่างเห็นได้ชัด

6. การเต้นของหัวใจช้าลงและความดันโลหิตลดลง

เตรียมตัวครับถ้าตอนนี้คุณกำลังเครียดหาห้องส่วนตัวที่รอบข้างเงียบๆอาการดีสักที่โดยละทิ้งความคิดที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลขจัดออกไปให้หมดโดยให้เริ่มจากการผ่อนคลายกล้ามเนื้อโดยให้ปฏิบัติตามนี้

- นั่งบนเก้าอี้สบายหรืออยู่ในท่าที่รู้สึกสบายพร้อมกับหลับตา
- ระบายความเครียดให้เกิดขึ้นที่มือขวา ให้กล้ามเนื้อบริเวณแขนตึงและแน่นโดยให้กล้ามเนื้อของแขนขวาส่วนบนตึงเหมือนกับกำลังยกของหนักอยู่ แต่อย่าให้มือขวาเคลื่อนไหว เป็นเวลา 5-7 วินาที

วิธีรับมือกับตัวเองเวลาเกิดความเครียด

สิ่งแรกเราต้องรู้จักตัวเองก่อน รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดอารมณ์นั้นๆ แล้วผลที่ตามมาเป็นอย่างไร ลองประเมินตัวเองดูว่าเรามีความสามารถที่จะจัดการความรู้สึกมากน้อยเพียงใดเมื่อเกิดอารมณ์ โกรธ หงุดหงิด ไม่พอใจ รู้จักอดทนอดกั้นสะกดอารมณ์ให้ได้ แก้ไขปัญหาอย่างมีเหตุมีผล

สร้างแรงจูงใจให้กับตัวเองมองหาแง่ดีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้เชื่อมั่นและมีกำลังใจเพิ่มขึ้้น จัดลำดับความต้องการ ตั้งเป้าหมาย มีความมุ่งมั่น ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างเต็มใจ สร้างทัศนคติที่ดี รู้คุณค่าของตัวเอง

มีดพก

วิธีเพิ่มความสูง อาหารเสริมเพิ่มความสูง กินแล้วสูง



ก่อนอื่นก็ต้องขอสืบสาวเล่าความเมื่อตอนที่ยังเด็กจนมาถึงวัยเจริญเติมโตว่ามีการพัฒนาอะไรบ้างเกี่ยวกับร่างกายของเรากันก่อนเลยนะจ๊ะ สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่านก็ข้ามไปดูหัวข้อวิธีเพิ่มความสูงด้านล่างเลยนะครับ แต่หากใครอยากหาความรู้เพิ่มเติมก็ไล่อ่านมันไปตั้งแต่เริ่มต้นนี่เลย

วัยรุ่น (Adolescence) เป็นวัยที่เริ่มสามารถที่จะมีบุตรได้ และช่วงนี้จะมีการเติมโตที่ไวสุด ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอายุ 10-20 ปี แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ
  1. วันรุ่นแรก เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทุกระบบ โดยจะอยู่ในช่วงอายุ 10-13 ปี เด็กในวัยนี้มักจะคิดหมกมุ่นกังกลเกี่ยวกับร่างกายส่งผลกระทบไปถึงจิตใจ อารมณ์แปลปวน หงุดหงิดได้ง่าย
  2. วัยรุ่นตอนกลาง (เริ่มที่จะเข้าใจตัวเองมากขึ้น) จะอยู่ในช่วงอายุ 14-16 ปี เด็กวัยนี้จะเริ่มมีความคิดที่ลึกซึ้งมีอุดมการณ์เป็นของตัวเองและพยายามหาเอกลักษณ์หรือจุดเด่นของตัวเองออกมาใช้ ชอบเอาชนะแบบเด็กๆ ที่ผูกพันพึ่งพาพ่อแม่
  3. วัยรุ่นตอนปลาย เริ่มแก่ละ (ฮา) จะอยู่ในช่วงอายุ 17-20 ปี ตอนนี้ก็คงกำลังใกล้จะจบ เตรียมหาวิทยาลัยที่ชอบในคณะที่ใช่เรียนต่อซึ่งในวัยนี้ต้องบอกเลยว่ามีเปอร์เซ็นต์ความเครียดที่สูงใช้ได้เลย สภาพร่างกายเจริญเติมโตอย่างเต็มที่!! รวมถึง...ก็โตไปด้วย อิอิ บรรลุนิติภาวะในทางกฏหมาย จะทำอะไรก็ให้คิดดีๆก่อนล่ะ
อย่างไรก็ตามใช่ว่าทุกคนจะเจริญเติมโตพร้อมกัน แต่ละคนก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง ต่อมไร้ท่อต่างๆจะผลิตฮอร์โมนวัยว้าวุ่น (มุข) เพื่อไปกระตุ้นอวัยวะบางส่วนของร่างกายให้ทำงานได้อย่างตรงไปตรงมาและมีความสมบูรณ์แบบที่สุด และจะโตช้าโตเร็วก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยในแต่ละบุคคล

การเปลี่ยนแปลงเมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น

พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงจะมีการเติมโตอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 10 - 13 ปี และจะลดอัตราการเจริญเติมโตเมื่อเข้าระยะวัยรุ่นตอนกลาง ใครที่อยากสูงช่วงอายุ 10 ถึง 13 นี่โอกาศทองเลยครับกินเยอะๆมีอะไรก็อย่าให้ขวางหน้ากินให้หมดเพราะเป็นช่วงที่เราจะโตได้ที่สุดจำขีดเลยที่สำคัญ กลิ่นตัวแรง!!!

ชนาดของร่างกายและความสูงส่วนที่เติมโตที่สุดก็เห็นจะเป็นไหล่แต่เมื่อเทียบกับสาวๆแล้วสะโพกสาวๆจะใหญ่กว่า ผู้ชายใหญ่ข้างบนส่วนผู้หญิงใหญ่ข้างล่างอะไรก็ว่ากันไปแต่ถ้าร่างกายเติมโตเต็มที่แล้ว พบว่าสะโพกจะมีขนาดใกล้เคียงกัน

ส่วนสูงผู้ชายในวัยเด็กจะสูงกว่าผู้หญิงมาโดยตลอดเคยสังเกตกันไหมแต่พอมาระยะช่วงอายุ 11 ปีผู้หญิงจะเริ่มไล่ทามทันจนสูงกว่าโอ้แม่เจ้า!! นำไปโด่งไปก่อนเลย แต่โทดทีครับเมื่อถึงอายุ 15 ความสูงผู้ชายก็จะเพิ่มขึ้นจนแซงหน้าผู้หญิงในวัยเดียวกันและจะทวีคูณสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้หญิงเริ่มหยุดสูงแล้ว เห็นผู้หญิงสูงกว่าก็อย่าพึ่งนอยไปครับถ้าอายุยังน้อยเพราะเรายังสามารถเพิ่มความสูงได้อีกแต่จะช้ากว่าปีสองปี

การเปลี่ยนแปลงของกระดูก เมื่อมีอายุประมาณ 13 - 15 ปี กระดูกจะแข็งแรงขึ้น การเจริญเติบโตของกระดูกในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไปตามกิจกรรมที่ทำบางคนอาจจะเล่นกีฬา ออกกำลังกาย ฟิตเนส แนะนำว่าอย่าเล่นกล้ามนะครับแขนมันจะใหญ่ขึ้นก็จริง กระดูกแข็งแรงก็จริง แต่มันจะทำให้เตี้ยได้นะครับมีลูกบอกลูกมีหลานบอกหลาน ควรจะหากีฬาอะไรที่ดีกว่าอย่างเช่น ว่ายน้ำ เตะบอล อะไรงี้ก็จะช่วยยืดกระดูกเราได้

การเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อและไขมัน ผู้ชายจะมีไขมันบางลงและมีเนื้อหนังมังสาเพิ่มขึ้น แรกๆอาจจะดูผอมลงไปบ้าง โดยเฉพาะ แขน ขา ส่วนคุณผู้หญิงอาจจะคิดหนักแล้วในช่วงนี้ถึงแม้จะมีเนื้อเพิ่มมากขึ้นแต่หารู้ไหมว่ามีการสะสมของไขมันใต้ผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ผลกระทบคือทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละ 25 ของน้ำหนักตัวเลยทีเดียว และก็จะมีเสียงบ่นตามมาว่าตัวเอง อ้วน เกินไปจึงพยายามหาทางที่จะลดน้ำหนัก จนผอมแห้ง และอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้หากเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องโดยไปพึ่งยาลดความอ้วนก็ฝากเตือนกันด้วย

วิธีเพิ่มความสูง

เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการอ่านข้อมูลผมจึงได้รวบรวมวิธีเพิ่มความสูงที่กระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆมารวมไว้ในบทความนี้เลยก็แล้วกัน แน่ใจได้เลยว่าข้อมูลที่ได้ครบครันอย่างแน่นอนไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้วคิดถึงเรื่องสุขภาพต้อง 555Health

เจิมด้วยวิธีพื้นฐาน ปัจจุบันรูปร่างสูงสง่าได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นแม้แต่วัยทำงานยังอนากสูงเลยเพื่อบุคลิกภาพที่ดีสร้างความมั่นใจให้ตัวเองทั้งหญิงและชายก็อยากสูงจริงม้ายยย!! ความสูงจะทำให้สมาร์ท หล่อ เอ๊ะอันนี้รวมไปถึงหน้าตาด้วยนะสูงอย่างเดียวคงไม่พอ เคล็บลับพร้อมเสิร์ฟมาแล้วจะแบ่งเป็นข้อๆให้อ่านง่ายๆดังนี้
  1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แน่นอนร่างกายต้องการสารอาหารกินเข้าไปเยอะๆแล้วสิ่งที่กินเข้าไปต้องมีประโยชน์ด้วยนะ เน้นอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อยที่กินทีเดียวได้หลายๆตัว
  2. ออกกำลังกาย กินแล้วอย่าอยู่เฉยๆเพราะจะทำให้อ้วนบวมได้ต้องหากีฬาหรือออกกำลังกายเพื่อเผาผลานพลังงานไม่ต้องกังวลว่าแคลเซียมจะหลุดออกมาหรอก ข้อดีของการออกกำลังกายมีเยอะแต่สำหรับเวลานี้มันจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา เป็นฮอร์โมนที่ทำให้สูงขึ้นนั่นเอง พยายามตื่นแต่เช้าเพื่อมารับแสงแดดอ่อนๆ ย้ำว่าอ่อนๆนะครับ หยุด!! อย่าบอกว่าขอเวลาต่ออีกได้ไหมเวลานาฬิกาปลุกก็หัดตรงเวลาซะบ้างตั้งไว้เช้าๆ อย่าบอกว่าต่อเวลาอีก 5 นาทีเพราะมันไม่ใช่การแข่งเตะบอล ดังนั้นให้ลุกขึ้นทันทีทำเพื่อตัวเองได้ไหม?
  3. นอนหลับให้เพียงพออย่ามัวแต่เล่น Facebook ทั้งวันทั้งคืน เห็นนะว่าออนอยู่ (ฮา) ถามว่านอนนี่ต้องอย่างน้อยกี่ชั่วโมง ตอบ: อย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพราะจะมีการหลั่งโกรทฮอร์โมนเต็มนัดเมื่อยามหลับสนิท
  4. ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีอย่าให้เจ็บป่วยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยได้เหมือนกันเพิ่มแกะแข็งๆให้กับร่างกาย ที่สำคัญอารมณ์อย่าปล่อยให้ตัวเองเครียดพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเข้าวัดฟังธรรมหรือจะทำให้เครียดเพิ่มอีกก็ไม่รู้ หาทางออกในการฟังเพลง เล่นกีฬา พบปะพูดคุยจัดปาร์ตี้ อ้าวแบบนี้จะไม่ผิดกับข้อ 3 หรอ ก็ให้มันพอดีพองามก็แล้วกัน หรือทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่คิดว่าตัวเองจะมีความสุข บอกกับตัวเองว่าอย่าเครียด อย่าเครียด หนักกว่าเดิมอีก 555+ เพิ่มห้าห้าห้าแล้วนึกถึงอีกอย่างที่บรรเทาอาการเครียดได้ดีมากคือ ดูตลกครับ หัวเราะเยอะๆชีวิตยืนยาว
  5. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด ขอแสดงความเสียใจสำหรับใครที่ชอบกินอาหารประเภทนี้ด้วยครับ แต่ท่องเอาไว้ทำตัวเอง เพื่อตัวเราเอง อิอิ อาหารฟาสต์ฟู้ด ขนมกรุบกรอบและน้ำอัดลม ข้อห้ามนี้ต้องบอกว่าต้องใช้ความพยายามยับยั้งชั่งใจสูงพอสมควรเพราะมันยากโดยเฉพาะ 2 ตัวสุดท้าย น้ำอัดลมของฉานน!!!
วิธีเพิ่มความสูงด้วยการเล่นโยคะ

หลังจากที่ปฏิบัติและหัดห้ามใจไม่ให้กินของที่มีผลเสี่ยงต่อการหยุดสูงแล้ว รวมถึงการเล่นกีฬานอกบ้านคุณผู้หญิงคงจะไม่ชอบเพราะมันทั้งตากแดดร้อนกลัวผิวดำสารพัดความกลัว หัวข้อนี้ผมเลยตามมาง้อเค้าสักหน่อยโดยการเล่นโยคะที่สามารถทำได้ในบ้านร่มเย็นมีแอร์ไม่ต้องไปตากแดดตากฝนข้างนอก

ส่วนท่านั้นไม่ยาก อย่าเอาไปเล่นท่ายากนะผมไม่แนะนำเพราะมันง่าย (ฮา) มีมากฝากให้เก็บใส่ตระกล้าไปเล่นกับครอบครัวที่บ้าน 3 ท่า ถามว่าน้อยไปไหม ไม่หรอกก็ลองไปหัดก่อนครับถ้าเซียนเดี๋ยวจะมาอัพเพิ่มเติมกันอีกที

1. โยคะ ท่าสุขอาสน


ขั้นแรกให้นั่งสมาธิ เอามือประกบเหยียดขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับกำนหนดลมหายใจเข้าออกทำซ้ำ 10 ครั้ง ถ้าหนักไปต่อลดจำนวนครั้งลดลงมาอีกได้นะ^^

2. โยคะ ท่าแมว


คุกเข่า (ตามภาพเลย) แล้วเอามือกดลงไปที่พื้นให้ตรงหัวไหล่ ยกสะโพกขึ้นแอ่นเอวลงแหงนหน้าขึ้นสุดๆ แล้วหลับมาท่าแมวแบบปกติจากนั้นก้มศีรษะลงให้หน้าผากแตะพื้น ทำซ้ำหลายๆรอบตามลิมิตของร่างกาย

3. โยคะ ท่าสามเหลี่ยม


ยืนให้ขาห่างกัน 90-120 ซม. และให้ขนานกันด้วย เท้าข้างซ้ายหมุนออกจากลำตัวประมาณ 90 องศา หันเท้าข้างขวาเข้าลำตัว 45 องศา ยืดแขนชี้ขึ้นในขณะที่แขนอีกข้างก็จับเท้าไว้ด้วย ลักษณะจะเป็นรูปสามเหลี่ยมทำซ้ำหลายๆครั้ง

ทั้ง 3 ท่าที่ให้ไปอย่าลืมเอาไปเล่นดูครับให้ทำอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยเพิ่มความสูงได้แล้วยังช่วยลดอาการปวดเอวปวดหลังได้อีกด้วย


กลิ่นตัวแรง แก้ได้ง่ายๆทั้งหญิงและชาย



กลิ่นตัว หรือในภาษาอังกฤษ Body Odor เป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นทุกคน และมักจะเกิดเฉพาะบริเวณที่ลับ รักแร้ ศีรษะ เป็นปกติเมื่อก้าวเข้าสู่วัยเจริญเติมโตและมักจะไม่ได้กลิ่นตัวของตัวเองเพราะจมูกซึ่งก็กลิ่นอยู่เสมอจะชินกับร่างกายของตัวเราเอง

นอกจจากปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวขึ้นได้แล้วนั้นยังมีปัจจัยภายนอกที่ทำให้มีกลิ่นตัวได้เช่นกัน อย่างเช่น สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้เหงือออกมีการสะสมทำให้เชื่อจุลินทรีย์บนผิวหนังเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าที่หนาหรือใยสังเคราะห์จะทำให้เหงือระบายออกได้ช้าทำให้ผิวหนังมีการอับชื้อสูง รวมไปถึงอารมณ์ของเรา เครียด โกรธ หรือตกใจ ซึ่งอารมณ์ดังกล่าวจะไปกระตุ้นให้ต่อมเหงือหลั่งออกมามากขึ้น

เชื่อว่าทุกคนต้องเคยเป็นเวลาตกใจหรือไปทำอะไรผิดมาก็จะหวาดกลัวเหงื่อตกกันเลยทีเดียวลองสังเกตตัวเองดูนะถ้านึกภาพไม่ออกก็ดูในละครยอมรับว่าแสดงเหมือนจริงๆ อิอิ

กลิ่นตัวแรงเกิดขึ้นได้หากับประทานอาหารบางชนิด เช่น ไขมันสัตว์ ใครที่ชอบกินต้องหัดห้ามใจตัวเองล่ะนอกจากจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้แล้วยังอาจจะทำให้อ้วนได้ง่ายๆอีกด้วย นอกจากนี้พวก สะตอ เนื้อสัตว์ กระเทียม หอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ต้องบอกเลยว่าสองตัวข้างหลังถ้าเลิกได้ก็จะดีมากเพราะมันสร้างแต่ภัยโรคร้ายให้ส่วนประโยชน์แทบจะหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

และสาเหตุสุดท้ายที่ขอฝากเพื่อนไว้คือการใช้ยาบางชนิดควรหลีกเลี่ยงไว้บ้างก็ดีมันอาจจะทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน อาทิ การใช้ยารักษาสิวที่มีสารเบนโซอิล เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ที่ผสมอยู่ เป็นต้น คราวนี้เราก็รู้สาเหตุแหล่งที่มาของกลิ่นตัวแล้วนะครับ ต่อไปคือวิธีแก้ปัญหาที่หลายคนอยากรู้ เดี๋ยวขอแนะนำไว้ในบทความนี้เลยยก็แล้วกัน

วิธีแก้ปัญหากลิ่นตัวแรง
  1. เป็นขั้นเบสิคพื้นฐานที่ทุกคนรู้และทำกันทุกวันนั่นคือ อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายแต่ทำให้บ่อยขึ้นวันไหนมีเวลาว่างก็จัดเลยอาบๆอยู่นั่นแหละ อาบให้ทุกซอกทุกมุมทั้งมุมแคบมุมสว่างโดยเฉพาะบริเวณข้อพับต้องเน้นเป็นพิเศษ ถ้าจะให้ได้ผลมากขึ้นแนะนำว่าควรใช้น้ำมันที่สกัดจากสะระแหน่ หยดลงไปในอ่างอาบน้ำ 2-3 หยด ปิ๊ดเดียว ก็จะช่วยระงับกลิ่นตัวได้ (สะระแหน่มีคุณสมบัติช่วยดับกลิ่นตามธรรมชาติ)
  2. ใช้ลูกกลิ้งข้อนี้คุณผู้ชายคงจะรู้ดีรวมทั้งคนทั่วไปออกสื่อโฆษณาซะขนาดนั้นนะ ใช้ทาบริเวณรักแร้หลังอาบน้ำหรือจะใช้สมุนไพรช่วยก็ได้ เช่น พิมเสน ใบพลู ใบฝรั่ง โดยวิธีใช้แบบรวดเร็วคือขยี้แล้วทาหรือถ้าอยากให้ได้ผลถึงที่สุดก็เอาไปโขลกให้ละเอียดแล้วทารักแร้ก็ช่วยระงับกลิ่นตัวได้ไม่แพ้กัน
  3.  อย่างที่บอกไปข้างต้นคือให้หลีกเลี่ยงอาหารหรือยาที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวและพยายามอย่าให้ท้องผูก
  4. ในกรณีที่อาบน้ำแล้วยังมีกลิ่นตัว ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งมักอยู่ในรูปของสบู่ในการอาบน้ำ หรือไม่ก็ใช้สารส้มทาตัว ตลอดจนใช้เครื่องหอม น้ำหอม (กลิ่นที่ตัวเองชอบนั้นแหละ) โอดิโคโลญ สบู่ครีมที่ผสมน้ำหอม ซึ่งกลิ่นหอมจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยกลบกลิ่นตัวได้ทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
หากแก้ไขหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล แนะนำให้ไปพบแพทย์ผิวหนังขอคำปรึกษา แล้วพยายามสังเกตดูตัวเองว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนทำให้กดกลิ่นตัวแรงหรือเบาลง และอีกวิธีดับกลิ่นตัวแบบบ้านๆก็คือหลังอาบน้ำก็ทาแป้งเย็นกลบไปซะก็อาจจะช่วยให้ลดได้ในระดับหนึ่ง




การตรวจสุขภาพประจำปี



เรื่องที่หลายคนมองข้ามจนอาจก่อให้เกิดผมเสียตามมาภายหลัง ที่จริงเรื่องการตรวจสุขภาพนี้เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยสำหรับทุกเพศทุกวัย เพราะฉะนั้นเราควรเอาใจใส่ต่อสุขภาพตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ลดอัตราการเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ ที่ไม่พึงปรารถนา ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนไม่ต้องการมันอย่างแน่แท้ การตรวจสุขภาพประจำปีมีรายการตรวจและระยะเวลาของการตรวจที่แตกต่างกันตามความจำเป็นของร่างกายแต่ละคนดังนี้


  1. นัดแพทย์หรือสถานพยาบาลให้เรียบร้อย แน่นอนว่าการจะทำอะไรก็ต้องทำการนัดหมายให้เรียบร้อยเพื่อให้ได้มาซึ่งความพร้อม ในกรณีนี้ก็เช่นกันควรนัดแพทย์และพร้อมเอกสารเพื่อการส่งตรวจก่อนวันมาสถานพยาบาล
  2. เลือกวิธีการตรวจที่เหมาสม ในส่วนนี้ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับร่างกายเราในขณะนั้นพร้อมทำประวัติเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับเพศ อายุ หน้าที่การงาน ฐานะ
  3. การตรวจขั้นต้น ก่อนอื่นก็ต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองว่ามีน้ำหนัก ส่วนสูง ความดันโลหิต เท่าไหร่ เป็นต้น
  4. การตรวจอย่างละเอียด ตรงนี้ก็เป็นขั้นตอนในการพบแพทย์เพื่อให้ตรวจสอบสภาพร่างการรวมถึงความผิดปกติของร่างกายว่ามีโรคภัตแทรกซ้อนหรือไม่
การขับถ่าย

เป็นอีกกิจกรรมที่ต้องทำทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการเพราะเรากินอาหารเครื่องดื่มเข้าไปทุกวันก็ต้องมีการกำจัดกากอาหารออกเป็นธรรมดา แต่ถ้าหากส่วนนี้มีการผิดปกติจะส่งผลให้ส่วนอื่นๆของร่างกายทำงานผิดเพี้ยนหรือมีผลกระทบได้ทั้งนั้น ดังนั้นจึงต้องดูแลตัวเองให้มีการขับถ่ายปกติดังนี้
  1. รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองเพราะถ้าหากละเลยรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาอดมื้อกินมื้อนั้นไม่ดีแน่นอนและไม่ควรกินจุบจิบระหว่างมื้ออาหารหลัก เพราะจะทำให้มีการหลั่งน้ำย่อยผิดปกติซึ่งผลที่ตามมาคือ ทำให้ท้องอืด มีการการปวดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อยก็เป็นได้
  2. ฝึกตนให้ติดนิสัยในการขับถ่าย เมื่อมีอาการปวดปัสสาวะก็ไม่ควรที่จะกลั้นไว้นานเพราะจะทำให้กระเพราะปัสสาวะอักเสบและควรดื่มน้ำให้มากๆเพื่อที่จะให้ปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
  3. รับประทานอาหารที่มีเส้นใย เพื่อช่วยให้การขับถ่ายได้ดีขึ้นสำหรับอาหารที่มีเส้นใยเช่น อาหารจำพวกผัก ผลไม้ เป็นต้น
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ข้อนี้สำคัญเพราะนอกจากจะทำให้อวัยวะในส่วนต่างๆของร่างการทำงานได้ดีขึ้นแล้วยังช่วยให้ร่างการแข็งแรง ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน
  5. การดื่มน้ำ แล้วต้องดื่มในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะพอดีหรือเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย คำตอบอย่างที่ทุกคนรู้ดีกันอยู่แล้วคือ วันละ 8 แก้ว เป็นอย่างต่ำ
  6. สืบเนื่องจากข้อ 2 หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นต่อระบบขับถ่ายควรรีบหาทางแก้ไขโดยเร็ว โดยอาจรับประทานอาหารที่ช่วยระบบการย่อยอาหาร เช่น ขี้เหล็ก มีฤทธิ์ช่วยระบายอย่างอ่อนๆ หรือจะเป็นเครื่องครัวอย่าง กระชาย กระเทียม กะเพาะ ขมิ้น ตะไครื ขิง พวกสมันไพรไทยนี่แหละจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งขวางกั้น
การจัดการกับอารมณ์และความเครียด

พูดถึงความเครียดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยแต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับวัยทำงานหรือบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบอะไรหลายๆอย่างซึ่งหลายท่านอาจจะยังไม่รู้วิธีทำลายความเครียดให้หายไปก็ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ดู
  1. เพิ่มภูมิคุ้มกันความเครียดให้กับตัวเองโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าไปพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะจะให้กลับมาเครียดเหมือนเดิมและยังทวีความเครียดเพิ่มขึ้นมาอีกทางที่ดีหาเวลาว่างออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือฟังเพลงจะดีกว่า สำหรับเพลงก็ควรเลือกฟังเพลงที่สร้างสรรค์ ให้กำลังใจด้วย
  2. แยกแยะให้ถูกระหว่างชีวิตการเรียนหรือการทำงานกับชีวิตส่วนตัว ควรจัดตารางแบ่งเวลาให้ถูกต้อง
  3. สร้างบรรยากาศการพูดคุยกับเพือนฝูงเรื่องที่เป็นบวกและหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะนำพาไปสู่ความเครียด
  4. อย่าเก็บกดระบายออกมาบ้างก็ดีโดยหาคนที่ไว้ใจพูดคุยเรื่องคับข้องใจให้ฟัง เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์
  5. อย่าให้ตัวเองเหงาเศร้าหมองโดยการหางานอดิเรกที่ตัวเองชอบทำ
  6. หรือหาทางออกโดยการเข้าวัดฟังธรรม นั่งสมาธิก็อาจทำให้ความเครียดลดลงหรือหายไปได้
    ฝึกการควบคุมอารมณ์ตนเองให้อยู่หมัดโดยการหายใจเข้าลึกๆ 

เว็บไซต์เพื่อนบ้าน